วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

ความสุขเล็กๆ จากอนุบาลรำลึก

อนุบาล อนุบาล จะรักกัน รักกันมั่น รักกันนิรันดร


มีโอกาสได้ไปงานโรงเรียนอนุบาลค่ะ เป็นงานประจำปีเหมือนกับที่ทุกๆโรงเรียนต้องมี ให้นักเรียนได้มีโอกาสมาแสดงความสามารถ มาแสดงออกด้วยการกล่าวต้อนรับ การรำ การเต้นเข้าจังหวะ การร้องเพลง การแสดงดนตรี แต่อีกหนึ่งกิจกรรมที่สำคัญสำหรับที่นี่ในวันนี้คือ การแสดงความยินดีกับหนูๆบัณฑิตน้อยนักเรียนชั้นอนุบาล3 ที่ประสบความสำเร็จในก้าวแรกของการศึกษาและกำลังจะก้าวไปอีกหนึ่งขั้นของการเรียนรู้ น้องๆ แต่งตัวกันเต็มยศมีทั้งชุดครุยและหมวก ได้มองได้เห็นว่าน้องๆมีความภาคภูมิใจกับชุดที่ตัวเองสวมใส่มากแค่ไหน ก็รู้สึกอิ่มเอมใจนะคะ เห็นคุณครูแต่ละท่านมองดูนักเรียนด้วยความสุขใจ ที่ส่งนักเรียนอีกหนึ่งรุ่นสู่ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง มีโอกาสได้คุยกับคุณครูท่านนึงค่ะ ท่านบอกว่า เป็นคุณครูอนุบาลหนักที่สุดแล้วเพราะเราสอนเค้าตั้งแต่เค้ายังไม่รู้จักว่าโรงเรียนคือที่ไหนด้วยซ้ำ เค้าต้องถูกบังคับให้มานั่งทำความรู้จักกับ ก ข มันคืออะไรกัน แล้วเรียนหนังสือคืออะไรทำไมต้องมาโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่พาเค้ามาทิ้งไว้ที่ไหนกัน ทำไมไม่ให้อยู่บ้านเล่นสนุกสนานทั้งวัน คุณครูเล่าว่า เปิดเทอมวันแรกเหมือนจับปู่ใส่กระด้ง พี่ใหญ่อนุบาล2 อนุบาล3 สบายหน่อยเพราะเค้าอยู่ตัวแล้ว มาถึงที่โรงเรียนเค้าก็พอจะรู้ทิศรู้ทางของเค้า จุดเด่นไปอยู่ที่น้องๆเตรียมอนุบาลที่มาโรงเรียนวันแรก กับน้องๆอนุบาล1ค่ะ ร้องไห้กันระงมเลยทีเดียว คุณครูต้องใช้ความสามารถมากที่สุดในชีวิตก็วันนี้แหละค่ะ วันแรกในโรงเรียนของเด็กๆ คุณครูต้องใช้ความพยายามและความอดทนมากในการดูแลเด็กๆที่ไม่รู้เรื่องอะไร ให้เค้าได้อยู่ในกรอบและรู้จักกับคำว่ากฏระเบียบ

พอมาถึงตรงนี้ก็เลยลองมานั่งระลึกถึงวันแรกที่ตัวเราเองไปโรงเรียนบ้าง นั่งนึก...........นึกไม่ออกแฮะ ท่าทางมันจะนานเกินไปจนลืมที่จะนึกถึง และตัวเราเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญที่จะมานั่งรื้อฟื้นความทรงจำในวัยเด็กด้วย หลายสิ่งหลายอย่างถูกลบเลือนไปจากความทรงจำเพราะการไม่ใส่ใจของเราเอง รู้สึกเสียดายเหมือนกันนะคะ การได้มาเห็นน้องๆวิ่งเล่น สนุกกับการแสดงบนเวที ในช่วงเวลานั้น ก็น่าจะเป็นช่วงที่เรามีความสุขมากช่วงหนึ่งในชีวิตเช่นกัน มานึกได้รางๆก็ตอนอนุบาล 2 แล้วค่ะ จำได้ว่าเอากล่องดินสอที่คุณพ่อซื้อให้(พี่) ไปขายต่อให้เพื่อน แล้วเอาตังค์ไปซื้อน้ำกับขนมกิน วันรุ่งขึ้นต้องไปขอซื้อคืนแต่เพื่อนไม่ให้ ยังขำตัวเองมาถึงทุกวันนี้ ทำไมชั้นตะกละอะไรขนาดนั้น เอากล่องดินสอสวยๆ(ที่ไม่ใช่ของตัวเอง)ไปแลกกับตังค์ 5บาท 10 บาท แต่มันก็เป็นความเดียงสาในไว้เด็กหละค่ะ จะทำอะไรทำตามที่คิด ไม่ได้มานั่งคิดว่าจะโดนคุณพ่อตำหนิหรือพี่จะเสียใจที่กล่องดินสอสวยๆหลุดมือไป และไม่ได้มานั่งคิดว่าจะต้องขายเท่าไหร่ถึงจะคุ้ม จะต้องได้กำไรไว้ซื้อขนมในวันพรุ่งนี้ แต่กลับคิดแค่ว่าน้ำราคาเท่าไหร่ ขนมราคาเท่าไหร่ บวกกันได้เท่าไหร่ นั่นแหละจำนวนเงินที่ชั้นต้องการ ราคานี้แหละที่ชั้นจะขาย แล้วชั้นก็ได้ขนมและน้ำมาหม่ำสมใจ ย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน กว่าจะทำอะไรซักอย่างคิดแล้ว คิดอีก คำนวนนู่นนี่นี่นั่น ยกเหตุผลพันแปด ตัดสินใจนานสองนานไม่ทำซักที ทำไปมีผลอะไร กระทบอะไรบ้าง เด็กกับผู้ใหญ่ต่างกันตรงนี้หละมั้งคะ เด็กทำตามที่ใจคิดไม่ได้นึกถึงผลกระทบ ไม่ได้มีความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบอะไร ส่วนผู้ใหญ่ความรับผิดชอบต่อการกระทำ ต่อการตัดสินใจแต่ละครั้งมันย่อมมีผลกระทบของการกระทำที่จะต้องนึกถึงจะดีหรือจะร้ายก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน ว่าจะตอบสนองต่อการตัดสินใจแบบเด็กหรือผู้ใหญ่อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลแล้วหละค่ะ

อีกภาพประทับใจที่ได้เห็นในวันนั้นคือช่วงสุดท้ายของการแสดง คุณครูขอให้น้องๆบัณฑิตน้อยขึ้นบนเวทีเพื่อร่วมกันร้องเพลงอนุบาลรำลึก ในขณะที่พิธีกรประกาศเรียกบัณฑิตน้อย คุณครูก็คอยจัดระเบียบบนเวที ประโยคหนึ่งของพิธีกรที่พูดสะกิดใจขึ้นมาว่า “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของน้องๆที่จะได้อยู่ร่วมกันถ่ายรูปบนเวทีกับเพื่อนๆอนุบาลของเค้าแล้วนะครับ” มันเป็นความจริงที่ทำให้ย้อนคิดถึงเพื่อนๆอนุบาลของตัวเราเองเหมือนกันนะคะ ว่าป่านนี้แต่ละคนเป็นยังไงกันบ้าง หน้าตาเปลี่ยนกันไปมากน้อยแค่ไหน มันเป็นความสุขอีกหนึ่งอย่างที่ได้มานั่งนึกถึงเพื่อนคนนั้นคนนี้(ถึงแม้จะนึกได้เพียงไม่กี่คนก็ตาม) แล้วเพลงอนุบาลรำลึกก็ดังขึ้น หันไปมองบนเวทีมองดูน้องๆในชุดบัณฑิตน้อย ก็เห็นน้องคนนึงนั่งยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่บนเก้าอี้กลางเวที เห็นน้องเค้านั่งยิ้มตลอดเวลา มีความสุขกับการร้องเพลง ภูมิใจกับชุดครุยและหมวกที่ตัวเองสวมใส คุณครูบอกให้รู้ว่าน้องเค้าไม่สามารถเดินได้จึงให้เค้านั่งอยู่บนเก้าอี้ พอได้ยินว่าน้องเค้าเดินไม่ได้กับภาพความสุขของน้องเค้าที่เราได้เห็น แล้วรู้สึกว่าเรามีความสุขไปกับเค้าด้วยอ่ะค่ะ รู้สึกชื่นชมคุณพ่อคุณแม่ของน้องเค้านะคะ การที่น้องเดินไม่ได้ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆเลยในการที่เค้าจะเข้าสังคม ในการที่เค้าได้เข้าเรียนได้มีเพื่อนเหมือนเด็กทั่วๆไป น้องเค้ายิ้มและตะโกนร้องเพลงตลอดทั้งเพลง มันเป็นภาพคนตัวเล็กๆที่มีความสุขใหญ่มาก และล้นเหลือแผ่กระจายมาถึงเรา ให้เราได้อมยิ้มและมีความสุขไปพร้อมกับเค้าด้วย อยากให้ทุกคนได้เห็นภาพในวันนั้นจริงๆ หวังให้ทุกคนมีกำลังใจในการทำให้ชีวิตคุณมีความสุขต่อไปนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

บันทึกหน้าแรก

ถือฤกษ์งามยามดี วันที่ 11/1/11 ในการเริ่มต้นเขียนบันทึกอย่างจริงจัง หลังจากตั้งท่าอยู่เป็นนาน สองนาน จริงๆการเริ่มเขียนมันก็ไม่ยากเท่าไหร่หรอกนะคะ แต่การจะเขียนให้ตลอดรอดฝั่งนี่สิ มันดูจะทำได้ลำบากเหลือเกิน การจะมานั่งขีด นั่งเขียน บรรยายสิ่งต่างๆนาๆได้ทุกวัน มันต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และมีความรักที่จะทำมันด้วย หลายคนอาจจะบอกว่า การจะทำสิ่งใดแค่มีความรักที่จะทำมันก็พอ อยากจะถามกลับไปว่ามันพอจริงๆหรอ ความรักชนะทุกอย่าง อะไรประมานนั้น ….แต่ว่าแค่รักมันไม่พอจริงๆ ….

ถามว่าถ้ารักที่จะทำจะมาพล่ามพรรณนาอะไรถึงความพยายามมากมายนักหนา สำหรับใครหลายๆคน การที่ต้องทำงานประจำทุกวัน เลิกงานเร็วบ้าง เย็นบ้าง ดึกบ้าง การจะหาเวลาส่วนตัวทำอะไรซักอย่างดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย มันจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการกระตุ้นตัวเองขึ้นมาจากความเหนื่อยล้าและความขี้เกียจที่มีอยู่ในตัว(สูงมาก) มาทำอะไรซักอย่าง ความพยายามที่บ่นนักหนาว่าต้องมีนอกเหนือจากความรัก ก็ความพยายามในการเริ่มต้นเนี่ยแหละ อย่างในตอนนี้ฉันเลือกที่จะใช้ความพยายามในการดึงตัวเองขึ้นมานั่งเขียนเรียบเรียงเรื่องราวร้อยแปดพันเก้า และเพราะความรักในการเขียนนี่หละ การได้มานั่งเขียนนั่งเล่า กลายมาเป็นความสุขเล็กๆ ของแต่ละวัน

เคยนั่งคิดเหมือนกันว่า แล้วจากความพยายามมันจะกลายมาเป็นความรักได้บ้างมั้ย เมื่อก่อนตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ ไม่เคยรู้อะไรเลยเกี่ยวกับธุระกิจที่บ้าน รู้แต่ว่าบ้านชั้นทำบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ชั้นจะเรียนอะไรมา จะจบอะไรมาไม่สำคัญเพราะสุดท้ายชั้นก็กลับมาทำงานที่บ้านอยู่ดี แต่โชคดีหน่อยที่เลือกเรียนในสิ่งที่ไม่ห่างไกลกันมาก (เรียนจบสถาปัตย์ค่ะ ต่อด้วยการบริหารโครงการ) ตอนนั้นก็ไม่แน่ใจนักว่าอยากเรียนสถาปัตย์ ถามว่ารักในวิชาที่เรียนมั้ย ตอบได้ว่าสนุกกับการเรียน ดีใจที่ได้เรียน แต่ถ้าถึงกับว่ารักในอาชีพในความเป็นสถาปนิกมั้ย ตอบไม่ได้เลยจริงๆ เพราะตั้งแต่เรียนจบก็โดนดึงตัวมาทำงานที่บ้านเลย มันไม่มีเวลามาให้นั่งพิจารณาตัดสินใจ หรือจะบอกว่าไม่มีโอกาสก็คงจะไม่ผิด แต่ การที่เราไม่มีทางเลือก และเราก็ยังใหม่มากกับสิ่งที่ต้องผจญ มันทำให้เราต้องพยายามเรียนรู้และทุ่มเทกับมันมาก การทุ่มเททุ่มใจลงไปกับอะไรซักอย่าง ความสำเร็จที่ได้ มันก็มาพร้อมความภาคภูมิใจเสมอ และความภาคภูมิใจเนี่ยแหละเป็นแรงใจและแรงผลักดันได้ดีจริงๆ มีล้มลุกคลุกคลานบ้าง มันคือการเรียนรู้และเราก็สนุกที่จะเรียนรู้สิ่งเหล่านั้น สุดท้ายก็หลงรักในอาชีพนี้ ในงานนี้ และแล้วความพยายามก็กลายมาเป็นความรักได้จริงๆ

อยากให้ทุกคนได้คิดได้ลองทำ ลองพยายามกับอะไรซักอย่างอย่างจริงจัง และเมื่อคุณทุ่มตัวและเทใจลงไปกับมัน คุณจะรู้ว่าความสำเร็จที่ได้มามันคุ้มค่าจริงๆ หรืออย่างน้อยการที่เราพยายามอย่างที่สุด ถึงผลที่ได้มามันไม่ใช่สิ่งที่คิดที่หวัง สุดท้ายมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คุณรักจะทำด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยคุณจะเห็นว่าตัวคุณเองทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิดเสมอ